บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) TCAP เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกปี 2566 โดยกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในไตรมาส 2 ปี 2566 อยู่ที่ 1,973 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ จำนวน 1,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน รวม 6 เดือนแรกปี 2566 กำไรสุทธิมีจำนวน 3,760 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ จำนวน 3,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากความสำเร็จตามแผนกลยุทธ์การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม และการขยายสินเชื่อผ่าน ธนชาตพลัส
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TCAP เปิดเผยว่า “ตามที่เคยได้กล่าวถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ TCAP ไปเมื่อต้นปี 2566 ว่าการเติบโตของ TCAP ในปี 2566 จะมาจาก 2 ส่วนด้วยกันคือ จากเงินลงทุนที่ใช้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าบริษัทย่อยและบริษัทร่วม จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นหลังจากผ่านพ้นวิกฤติโควิด และจากเงินให้กู้ยืมเพิ่มเติมแก่ธนชาตพลัส เพื่อปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกัน ส่งผลให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกปี 2566 เติบโตขึ้น 20% Y-Y โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้นตามการขยายสินเชื่อของบริษัทย่อยและภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นหลัก ๆ จากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่มีการเร่งตัวขึ้นตามผลประกอบการของบริษัทร่วมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งธนาคารทหารไทยธนชาต และเอ็มบีเค
โดยในงวด 6 เดือนแรกปี 2566 ราชธานีลิสซิ่ง มีการเติบโตของสินเชื่ออย่างระมัดระวัง และสินเชื่อขยายตัวได้ดี แต่ได้รับผลกระทบบ้างจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นซึ่งส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ซึ่งบริษัทได้มีการติดตามและบริหารจัดการอย่างใกล้ชิดต่อไป สำหรับธนชาตประกันภัย มีเบี้ยประกันภัยรับเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หลักทรัพย์ธนชาตได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับลดลง ในส่วนของธนชาตพลัส เงินให้สินเชื่อเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 นี้ ยอดสินเชื่อคงค้างของธนชาตพลัส เติบโตขึ้นมาอยู่ที่กว่า 5.8 พันล้านบาท สำหรับบริษัทร่วมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธนาคารทหารไทยธนชาต ที่มีผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.6ใน
ครึ่งปีหลัง TCAP จะยังคงดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เดิม โดยจะยังคงถือหุ้นในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมตามสัดส่วนที่เป็นอยู่นี้ต่อไป รวมถึงกำกับดูแลให้บริษัทในกลุ่มเติบโตตามเป้าหมายทางธุรกิจ และแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ความมั่นคง และผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตขึ้น”
This Website uses cookies. Please accept our cookie policy for your best experience. You can learn more on how to adjust your cookie setting in ourcookie policy here